วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประวัติปฏิทินมายา ทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่


ประวัติปฏิทินมายา ทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่

ใกล้ถึงวันที่ 21 – 12 – 2012 ตามที่ ปฏิทินมายา ได้ทำนายวันสิ้นโลก แล้วสินะ!! เพื่อนๆว่า โลกจะแตกจริงหรือไม่? .. เมื่อมีคนมากมายเกือบทั่วโลกที่ตอนนี้กำลังพูดถึงประเด็น ทำนายวันสิ้นโลก วันโลกแตก ของชาวมายา ทำให้teen.mthai สงสัยเอามากๆว่า ปฏิทินมายารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง? วิธีใช้เป็นยังไง? ชาวมายานับและทำนายว่าโลกจะแตกในปี 2012 เพราะอะไร ทำไมคนถึงเชื่อกันมากมายขนาดนี้ teen.mthai ก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับ  ประวัติปฏิทินมายา มาให้เพื่อนๆอ่านกันคะ รวมถึงทฤษฏีโลกแตกอื่นๆด้วย อาจจะให้ความรู้ ความเข้าใจกับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะคะ ^^
ข้อมูลโดย teen.mthai

ประวัติปฏิทินมายา ทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่

ประวัติปฏิทินมายา  
  • ปฏิทินของอารยาธรรมอเมริกากลาง หรือที่เรียกกันว่า ปฏิทินชาวมายา เริ่มต้นมีมาตั้งแต่ประมาณ 2300 ปีก่อศริสตกาล โดยลักษณะของปฏิทินประกอบด้วยวงรอบภายในวงรอบซ้อนกันหลายชั้น เชื่อว่าจุดมุ่งหมายหลักๆของปฏิทินในยุคแรกๆน่าจะใช้ในการทำนายทายทัก วันดี-วันร้าย มากกว่าใช้เพื่อบอกวัน-เวลา
  • ตั้งแต่ 2300 ก่อนศริสตกาลเป็นต้นมา ชาวมายาใช้ระบบ 260 วัน ปฏิทินในยุคนั้นใช้ระบบที่เรียกว่า โซลคิน(Tzolkin) ซึ่งเป็นระบบที่ผสมระหว่างตัวเลขและชื่อวัน โดยตัวเลขวันมี 13 เลข และชื่อวันมี 20 ชื่อ เมื่อนำมารวมกันจะได้เป็นวงรอบที่ประกอบเป็น 260 วัน
ปฏิทินมายา : ชื่อวัน 20 ชื่อ
  • คือ เรียกทั้งเลขวันและชื่อวันเรียงกันไปอย่างอิสระ เช่น 1-imix , 2-ik , 3-Akbal เรียงกันไปเรื่อยๆ (เหมือนที่เราเรียก 1-อาทิตย์ , 2-จันทร์ , 3-อังคาร)
  • แต่เนื่องจากจำนวนวันในหนึ่งปีมีมากกว่า 260 วัน (ก็คือ 365 วันในปัจจุบันนั่นแหละ) ปฏิทินที่มีเพียงแค่ 260 วัน จึงใช้อะไรไม่ได้มากกว่า การทำนาย ทายทักวันดี-วันไม่ดี
  • หลังจาก 1492 ปีก่อนศริสตกาล ชาวมายาใช้ปฏิทินอีกระบบหนึ่งที่สอดคล้องกับฤดูกาลมากกว่าคือ ปฏิทินระบบ ฮาบ (Haab) โดยที่หนึ่งรอบวงจะมี 360 วัน ถึงแม้ปฏิทินระบบจะใช้ เลขวัน-ชื่อเดือน คล้ายกับปฏิทินระบบ โซลคิน แต่จะใช้วิธีนับที่แตกต่างกัน
การนับของ ปฏิทินมายา ระบบ โซลคิน (Tzolkin) : ตัวเลขวันมี 13 เลข และชื่อวันมี 20 ชื่อ
ปฏิทินระบบฮาบ (Haab) คืออะไร?
  • คือ ปฏิทินระบบ ฮาบ (Haab) นั้นจะประกอบไปด้วยเลขวัน 20 เลข และชื่อเดือน 18 ชื่อ แต่เนื่องจาก 1 ปีมี 365 วัน ชาวโอเมค (Olmec) จึงเพิ่มเดือนพิเศษอีกหนึ่งเดือนที่มีเพียงแค่ 5 วัน โดยถือเป็นช่วงวันสิ้นปี โดยชื่อเดือนทั้ง 19 ชื่อมีดังนี้
  • วิธีการนับวันจะนับเลขเรียงกันไปเรื่อยๆ พอถึงเลข 18 ก็ขึ้นเดือนใหม่ (เช่นเดียวกับที่เรานับ 29 พ.ค. , 30 พ.ค. , 31 พ.ค. , 1 มิ.ย.)
  • อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบโซลคินถูกใช้มานานเป็นพันปี จึงมีความจำเป็นต้องใช้ต่อไป โดยใช้เป็นหลักทำนายทายทัก และเมื่อนำมารวมกับระบบฮาบที่ใช้บอกฤดูกาล ก็จะเขียนเป็นรูปปฏิทินได้ภาพข้างล่างดังนี้ ซึ่งปฏิทินในระบบโซลคิน – ฮาบ นี้จะสามารถใช้ได้ถึง 13 ปี โดยที่ไม่มีวันที่ ตัวเลข และชื่อซ้ำกันเลย
กำหนดใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องเป็นครั้งแรก ใช้ระบบ วัน – เดือน – ปี
  • ในปี 747 ก่อนศริสตกาล ชาวโอเมค ได้กำหนดใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องเป็นครั้งแรก โดยใช้ระบบ วัน (Kin) , เดือน (Uinal) , ปี (Tun) , รอบยี่สิบปี (Katun) และรอบสี่ร้อยปี (Baktun) และกำหนดให้วันหนึ่งของปีนั้นเท่ากับ 6.0.0.0.0 (6 Baktun,0 Katun,0 Tun,0 Uinal,0 Kin) โดยจะตกวงที่ 11-Ahau 8-Uo
  • ซึ่งปฏิทินแบบนับต่อเนื่องนี้จะไม่รวมวันสิ้นปีเข้าไปด้วย และถ้าคำนวณย้อนกลับมา วันที่ 0 (เริ่มต้นปฏิทิน) จะตกในปี 3114 ก่อนศริสตกาล เมื่อเกิดระบบนับวันต่อเนื่อง ก็จะมีการผูกเรื่องราวต่างๆในบันทึก เข้ากับระบบนับวันแบบใหม่นี้
  • ชาวมายาถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนวันเริ่มยุค (ปี 3114 BC) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านี้ และสิ้นสุดลงในวันที่ 13.0.0.0.0 หรือวันสุดท้ายของยุคที่สอง ตามตำนานบันทึกการสร้างโลก (Popol vuh) และชาวมายาถือว่าปัจจุบันนี้อยู่ในยุคที่สาม
  • ชาวมายาถือว่า 1 ยุค มี 13 Baktun คาดว่าเนื่องจากระบบปฏิทินโซลคิน -ฮาบ จะมีการตั้งชื่อ Baktun ตามวันสุดท้ายของปีก่อนหน้าจามระบบโซลคิน ดังนั้นใน 1 ยุค จะมี Baktun ที่มีชื่อไม่ซ้ำกันได้เพียง 13 ชื่อเท่านั้น เมื่อสิ้นสุด 13 Baktun กลุ่มที่ยังคงใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องในอเมริกากลางไม่ได้คิดว่าเป็น วันสิ้นสุดของโลก เช่นเดียวกับปี 3114 BC ไม่ใช่เป็นวันสร้างโลก แต่เป็นวันที่ขึ้นยุคใหม่
  • สำหรับผู้ที่ศึกษาอารยธรรมมายา ก็กำลังตกลงกันว่าหลังจากหมดหน่วย Baktun แล้วจะนับวันต่ออย่างไร? อาจจะขึ้นปฏิทินใหม่แล้วเพิ่มหน่วย Piktun อีกหนึ่งหน่วยเป็น 1.0.0.0.0.0
  • ถ้าใช้หน่วย Piktun หมดแล้ว ก็ยังมีหน่วยรองรับอีก คือ Kalabtun , Kinchiltun และ Alautun
โดยสรุปแล้ว ปฏิทินมายา ก็ยังไม่ได้เป็นการทำนายว่า เป็นวันสิ้นโลก แต่!! เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ เช่นเดียวกับการขึ้นศตวรรษใหม่ปี 2000 ที่ไม่มีเหตุการณ์โลกแตกเกิดขึ้นแต่อย่างใด
  • ปฏิทินของชาวมายานั้น มีผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ
  • การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว
  • ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้
  • ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์)
  • ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้
  • หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน
  • ปฏิทินมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้
  • นอกจากนี้ ชาวมายา ยังได้ทำนายว่า หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..
    • 1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด
      2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้
      3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ – จากมิติที่สี่ – วิกฤติที่เจ็บปวด
      4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี
ภาพแกะสลักบนก้อนหินของชาวมายาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและการเมือง
(ไลฟ์ไซน์/David Stuart – ค้นพบ ปฏิทินมายา )
นักวิจัยพบอักษรชาวมายาที่ชี้ “วันสิ้นสุด” ของปฏิทินมายามีอยู่จริง แต่นักวิจัยชี้แจงว่า ความเชื่อของชาวมายาโบราณต่างจากความเชื่อของคนยุคนี้ เพราะวันดังกล่าวไม่ได้ชี้ถึงวันสิ้นสุดของโลก
  • มาร์เซลโล คานูโต (Marcello Canuto) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยอเมริกากลาง (Middle America Research Institute) ของมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane University) ได้กล่าวว่า
  •  “อักษรเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองโบราณมากกว่าจะเป็นเรื่องคำพยากรณ์ หลักฐานใหม่นี้ชี้ว่า วันของรอบที่ 13 บักตุน (13 bak’tun) นั้นเป็นเหตุการณ์ในรอบปฏิทินที่สำคัญ ซึ่งชาวมายาโบราณจะฉลองวันดังกล่าว ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สร้างคำพยากรณ์ถึงหายนะเมื่อถึงวันดังกล่าวแต่อย่างใด”
  • ทั้งนี้ ไลฟ์ไซน์ (ค้นพบ ปฏิทินมายา ) อธิบายไว้ว่า ปฏิทินรอบยาว (Long Count calendar) ของชาวมายานั้นแบ่งเป็นบักตุน (bak’tuns) หรือรอบ 144,000 วัน ที่เริ่มจากวันสร้างโลก (creation date) ของชาวมายา และวันเหมายัน (winter solstice) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ของปี 2012 คือวันของรอบบักตุนที่ 13 ซึ่งชาวมายากำหนดให้เป็นการครบรอบการสร้างโลก
  •  หากแต่คนยุคใหม่กลับเชื่อว่าวันดังกล่าวคือวันสิ้นโลก ทั้งที่มีหลักฐานอ้างอิงทางโบราณคดีเพียงชิ้นเดียวที่ระบุถึงปี 2012 นี้ นั่นคือข้อความที่จารึกบนอนุสาวรีย์ ณ เมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero) เม็กซิโก ที่มีอายุย้อนไปประมาณปีคริสตศักราช 669
รายละเอียดในหินบันไดขั้นที่ 5 ที่บอกเล่าเรื่องราวทางการเมืองของชาวมายาโบราณ
นักวิจัยขุดพบบันไดที่มีการสลักเรื่องราวของชาวมายาโบราณ
นักวิจัยขุดพบหลักฐานจากการสำรวจซากปรักหักพังในเมืองลา โคโรนา (La Corona) ของกัวเตมาลา ซึ่งบนก้อนหินบันไดทางเดินที่มีการแกะสลักอักขระโบราณนั้น นักโบราณคดีได้เห็นภาพการฉลองถึงการเสด็จมาเยือนของกษัตริย์ ยักนูม ยิชแอก คาห์ก (Yuknoom Yich’aak K’ahk) แห่งเมืองกาลักมุล (Calakmul) ซึ่งเป็นผู้ปกครองของชาวมายาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น
  • กษัตริย์ ยักนูม ยังทรงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า “จากัวร์ พาว์” (Jaguar Paw) และนักประวัติศาสตร์มีข้อสันนิษฐานมานานแล้วว่ากษัตริย์จากัวร์ พาว์นั้นสิ้นพระชนม์หรือทรงถูกจับในการสู้รบจากการโจมตีของอาณาจักรทิกอล (Kingdom of Tikal) ปีคริสตศักราช 695 แต่อักขระที่จารึกไว้นั้นชี้ว่าพวกเขาสันนิษฐานผิด
  • ในความเป็นจริงพระองค์เสด็จเยือนลาโคโรนาในปีคริสตศักราช 696 ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นความพยายามในการพยุงความจงรักภักดีของหมู่ประชากรที่รับรู้ความพ่ายแพ้ของพระองค์ในการสู้รบก่อนหน้านั้น 4 ปี และในช่วงหนึ่งของการประพาสต้นพระองค์ทรงเรียกขานพระองค์เองว่า “พระเจ้ากาตุนที่ 13” (13 k’atun lord) ดังปรากฎในอักขระที่เพิ่งค้นพบ
  • กาตุนยังเป็นหน่วยย่อยของปฏิทินมายาซึ่งมีรอบเวลา 7,200 วันหรือประมาณ 20 ปี ซึ่งกษัตริย์จากัวร์ พาว์ทรงครองตำแหน่งถึงปลายกาตุนที่ 13 ในปีคริสตศักราช 692 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ที่กำลังจะมาถึง และเพื่อผูกโยงพระองค์และรัชสมัยของพระองค์สู่อนาคต พระองค์จึงทรงเชื่อมโยงรัชสมัยของพระองค์กับรอบบักตุนที่ 13 รอบถัดไป ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธ.ค. 2012 นั่นเอง
จเซลีน พอนซ์ (Jocelyne Ponce) นักศึกษาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเดลวอลล์เดอกัวเตมาลา 
เป็นผู้พบบันไดที่มีการสลักเรื่องราวของชาวมายาโบราณ
  • คานูโต (ทีมขุดสำรวจ-ทีมนักโบราณคดียุคใหม่) กล่าว “สิ่งที่อักขระนี้บอกแก่เราคือช่วงเวลาแห่งวิกฤต ซึ่งชาวมายาโบราณใช้ปฏิทินของพวกเขาเพื่อสานความต่อเนื่องและความยั่งยืนมากกว่าจะเป็นการทำนายวันโลกาวินาศ”
  • ที่เมืองลา โคโรนานั้นเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ถูกลักลอบขโมยของมากที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งได้รับการสำรวจโดยทีมนักโบราณคดียุคใหม่ได้ประมาณ 15 ปีเท่านั้น โดยคานูโตยังมี โทมัส บาร์เรนทอส คิว (Tomas Barrientos Q.) จากมหาวิทยาลัย เดล วาลล์ เดอ กัวเตมาลา (Universidad del Valle de Guatemala) ร่วมทีมขุดสำรวจ
  • ทีมวิจัยได้ขุดพบหินบันไดขั้นแรกเมื่อปี 2010 ใกล้ๆ กับสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายอย่างหนักจากนักขโมยโบราณวัตถุ หัวขโมยพลาดบันได12 ขั้นนี้ไป แต่ก็เหลือตัวอย่างหินในปราสาทดั้งเดิมไว้เพียงเล็กน้อย ทีมวิจัยยังพบหินอีก 10 ก้อนจากขั้นบันไดที่ถูกหัวขโมยเคลื่อนย้ายแต่ถูกทิ้งไว้ โดยสรุปทีมวิจัยพบหิน 22 ก้อนที่มีอักขระโบราณ 264 ตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของลา โคโรนา และส่งผลให้โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นอักษรมายาโบราณที่ยาวที่สุดในกัวเตมาลา
คำทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่?
เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทำให้ยืนยันได้ว่า ปฏิทินมายา ก็ยังไม่ได้เป็นการทำนายว่า เป็นวันสิ้นโลก แต่!! เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ หรือหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น ซึ่งเคยมี นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี ได้ออกมาบอกเช่นเดียวกันว่า ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด
  • ที่เคยมีข่าวว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน น้ำท่วมโลก หรือะไรก็ตาม
  • แต่ สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า “มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่” ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเอง
นอกจากนี้ ยังมีคำทำนาย ตาม ทฤษฎี ต่างๆอีกมากมาย 
  • เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวนิบิรุ  ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกค้นพบเมื่อปี  2002 โดยนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) เชื่อว่า ดาวนิบิรุจะพุ่งเข้าชนโลก
  • เนื่องจากว่า ดาวนิบิรุมีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่ ซึ่งความจริงแล้วเส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นวงโคจรเดียวกับโลกพอดี ทำให้ดาวนิบิรุมีสิทธิ์เข้าชนโลกได้ หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตรายได้ เพราะว่าแกนของดาวนิบิรุ ก็มีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งเมื่อเข้ามาใกล้โลกสนามแม่เหล็กจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก จนทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นในโลก
  • อาทิ เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกะทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่าง ๆ และอื่น ๆ นับไม่ถ้วน ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2012 ดาวนิบิรุ จะเข้าใกล้โลกของเรามากที่สุด
  • สนามแม่เหล็กของเราจะมีอยู่ 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และอีกขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดยขั้วแม่เหล็กทั้ง 2 ขั้ว จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นอิสระจากกัน ทั้งทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก
  • แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008  นาซ่า (nasa)  ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมว่า อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาก
  • คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย อาทิ ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกิดจากแม่เหล็กโลกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว ก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิตามมา
  • อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า นอกจากการที่โลกและดวงอาทิตย์ทำการแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง ซึ่งก็คือทุก ๆ 11 ปีนั่นเอง
  • และเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดปรากฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ต้องสาบสูญไปในช่วงเวลานั้น
  • ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย จนเป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล อย่างกรณีโลกร้อน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือการเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ กระทั่งทำให้แกนโลกเกิดการเบี่ยงเบนไป จนนำไปสู่การกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง
  • ชนเผ่ามายัน ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคิดค้นปฏิทินและการคำนวณบางประการได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยแบบเรา โดยปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายา คือ วันที่ 21 ธันวาคม  2012 ซึ่งในวันนี้เองที่เป็นมาของความเชื่อที่ว่า เป็นวันสิ้นโลก
  • โดยเชื่อกันว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ทำให้พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถม และเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก อาจทำให้เกิดซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปี ที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง
  • โดยสัญญาณเตือนภัย ก็คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี  2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้วก็ได้
  • ด้วยสภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง
  • โดยผลกระทบที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ที่ทำให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดทฤษฎีน้ำท่วมโลกขึ้น
  • โดยเชื่อกันว่า หากเราไม่สามารถแก้ไข สภาวะโลกร้อนได้  ในปี 2012  โลกจะเกิดหายนะจากอุทกภัยน้ำท่วมโลก จากการละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์เมื่อปี 2003 ที่ระบุว่า ขณะนี้อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายตัวของน้ำแข็งในแต่ละวันมีปริมาณสูงถึงวันละ 1 ล้านตัน และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกิน 5-7 ปี น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและใต้จะละลายหมด ซึ่งก็คือ ปี 2012 นั่นเอง
ทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น สามารถเกิดขึ้นได้ หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่า อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น การเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้อต่อธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการมานั่งวิตกกังวลว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่? ^^
ข้อมูลโดย teen.mthai
อ้างอิง djingmarket.com,dmc.tv,manager.com,blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น